คำว่า TAPERING แปลว่าอะไร
3 ตุลาคม พ.ศ.2556
ถ้าติดตามข่าวเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังที่ผ่านมา เราจะได้ยินคำว่า Tapering กันบ่อยมาก คำนี้เพียงคำเดียวสามารถส่งผลกระทบต่อชีวิตการลงทุนและชีวิตประจำวันของเราเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาหาคำตอบกันว่าคำนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่ ทำไมคำนี้ถึงใช้กันอย่างแพร่หลายในข่าวเศรษฐกิจโลก คำนี้จะส่งผลอย่างไรกับชีวิตของเรา และแน่นอนจะส่งผลอย่างไรต่อราคาทองคำ
การลดวงเงิน QE ลงนั้นไม่ได้หมายถึง การหยุดทำ QE เพียงแค่เป็นการลดการอัดฉีดลง โดยมีการคาดการณ์ว่า จะลดเหลือ 65 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐจากเดิมที่ 85 ล้านล้านดอลลลาร์สหรัฐ และ จะเริ่มภายในปี 2013 นี้ โดยมีเดือนที่คาดการณ์กันมากคือ เดือนกันยายน ทั้งนี้ FED กล่าวเพิ่มเติมว่า การลดวงเงินลงนั้น ไม่ได้หมายความว่าจะต้องดำเนินนโยบายทางการเงินแบบเข้มงวดเท่านั้น จะเป็นเพียงแค่ชะลอการอัดฉีดเงินเพิ่มเติม เหมือนกับ การผ่อนคันเร่งรถ ไม่ได้ไปเหยียบเบรกแต่อย่างใด
คำถามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทั่วโลกลักษณะจะเป็น FED จะลดวงเงินลงเท่าไร และเมื่อไหร่ แทนที่จะเป็นการลดวงเงินหรือไม่ และถ้าลดวงเงินจริงจะมีผลกระทบอย่างไร ในส่วนนี้จะแยกเป็นสองฝั่งคือ ฝั่งที่มองว่า ควรลดได้แล้ว กับ อีกฝั่งที่ว่ายังไม่น่าจะลดในเร็ววันนี้
ฝั่งที่มองว่ายังไม่ควรลด โลกยังคงต้องการเงินกระดาษในปริมาณมหาศาลเหมือนเดิม มองว่าถึงแม้เศรษฐกิจของอเมริกาที่เริ่มฟื้นตัว แต่ยังคงเปราะบาง ซึ่ง FED จะจับตาดูตัวเลขอัตราว่างงานเป็นหลัก เป้าหมายที่ 6.5% ขณะที่ตอนนี้ 7.4% ถึงแม้อัตราว่างงานลดลงแต่หลายฝ่ายก็ออกมาท้วงว่า การว่างงานนั้นเกิดจากการที่แรงงานออกจาก Labor force ไป ไม่ใช่เศรษฐกิจดีขึ้น ทุกวันนี้จะเห็นตัวเลขเศรษฐกิจของอเมริกา ออกมาในลักษณะสับสน ดีบ้าง แย่บ้าง ทำให้มองว่า ตัวเลขยังไม่ดีพอที่จะลด และ โลกเรายังไม่พร้อมกับการหายไปของเงินจำนวนนั้น ยังเสพย์ติดเงินกระดาษที่พิมพ์ออกมาที่ทำให้ราคาสินทรัพย์สูงขึ้น ถ้าลดวงเงินเร็วไป อาจจะทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลก เพราะ เมื่อลดวงเงินลง ดอกเบี้ยพันธบัตรในระยะยาว ซึ่งเป็นต้นทุนของการกู้ยืม จะปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจที่ยังคงฟื้นตัวอย่างเปราะบางทรุดลงไปอีก นอกจากนี้เม็ดเงินที่จะโดนดูดกลับไปจะส่งผลกระทบต่อตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างมาก เพราะขนาดเศรษฐกิจที่เล็กเมื่อเงินถูกดูดกลับน่าจะส่งผลต่อราคาหุ้นอย่างรุนแรง อีกเหตุผลหนึ่งคือ เมื่อทำการลดวงเงินจะทำให้ดอลลาร์แข็งค่า เมื่อดอลลาร์แข็งการส่งออกของอเมริกาก็แย่ลง ยอดหนี้ก็ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น และเงินเฟ้อก็ถูกกดดันจากค่าเงิน ฝั่งที่มองว่าควรลดก็มองในมุมที่ เศรษฐกิจก็ฟื้นตัวขึ้นแล้ว ไม่อยากให้พิมพ์เงินมามากขึ้น เพราะ จะทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังไปอีกยาวนาน ควรจะค่อยๆทยอยลดได้แล้ว สินทรัพย์ต่างๆที่มีเม็ดเงินไหลเข้าไปเกินจริงจะได้กลับเข้าสู่ภาวะสมดุล
ความเห็นในตลาดตอนนี้ได้แบ่งออกเป็นสองฝ่าย แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรมีเพียง นาย เบน เบอนันเก้และที่ประชุม FOMC ที่จะรู้ข้อเท็จจริง เราก็มีหน้าที่เตรียมตัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในมุมมองของตลาดทองคำนั้น ดูจะเป็นเชิงลบมากกว่าถ้ามองเฉพาะข่าวในเรื่องของการลดวงเงินเป็นหลัก แน่นอนว่า ถ้าลดวงเงิน QE ลง ทองคำน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่รับข่าวได้รุนแรง เพราะ ขึ้นมาจากเงินกระดาษเหล่านี้ล้วนๆ ในทางกลับกัน ถ้ายังไม่ลด คงได้รับข่าวเชิงบวกในระดับหนึ่ง แต่ถ้าเทียบกันแล้วน่าจะไม่แรงเท่ากับการลดวงเงินลง
แต่ดูเหมือนในช่วงนี้คนจะเสพย์ติดกับเงินกระดาษปริมาณมหาศาลเหล่านี้เข้าแล้ว ถ้าลดวงเงินลงจริง คงได้เห็นอะไรที่สุดโต่งในตลาดเงิน ตลาดทุนทั่วโลกอย่างแน่นอน
|