Khun Hua (Lor)

เปลี่ยนรหัสผ่าน
รหัสผ่านเดิม
รหัสผ่านใหม่
ยืนยันรหัสผ่านใหม่

อีเมล์ / ชื่อผู้ใช้
รหัสผ่าน
ลืมรหัสผ่าน
homepage about khunhua products services gold tips news KhunHua Member contact & location
ห้างทองคุณฮั้ว (หล่อ)
ประเภทสินค้า
gold
gold
ค้นหาสินค้า
 
gold
news & events

โลกฟื้น เอเชียไม่ฟื้น ถึงเวลาปรับตัวเล็กพึ่งจีน

5 สิงหาคม พ.ศ.2556

 ถือเป็นสถานการณ์ที่พลิกผันไปอย่างรวดเร็วมาก สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ จากเมื่อต้นปีที่ผ่านมากลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ ยุโรป ไปจนถึงญี่ปุ่น อยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง ตรงกันข้ามกับเอเชียที่มีการเติบโตอย่างร้อนแรง ทว่า เมื่อเข้าสู่ช่วงหลักไมล์ครึ่งปีหลังไปได้ไม่นานก็กลับกลายเป็นว่าฝั่งประเทศพัฒนาแล้วกลับมีการฟื้นตัวที่ดีขึ้น ส่วนประเทศกำลังพัฒนาจากฝั่งเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินโดนีเซีย ไปจนถึงไทย มีทิศทางที่แย่ลงทุกขณะ

ภาวะการฟื้นตัวที่เป็นไปในทิศทางที่ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัดของสองกลุ่มประเทศในข้างต้น สะท้อนได้อย่างชัดเจนจากตัวเลขผลสำรวจภาคการผลิต หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (พีเอ็มไอ) ในเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยในฝั่งสหรัฐ ยุโรป ต่างมีทิศทางการฟื้นตัวที่ดีขึ้น โดยสหรัฐนั้นสามารถดีดตัวขึ้นมาถึง 4.5% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 55.4 จุด ด้านยูโรโซนกลับเข้าสู่ภาวะฟื้นตัวในรอบ 2 ปี โดยอยู่ที่ 50.3 จุด จากเดิมที่ 48.8 จุด

ขณะที่ทางฝั่งเอเชีย เช่น จีน หดตัวลงมาอยู่ที่ 47.7 จุด จาก 48.2 จุดในเดือนก่อนหน้า (ตัวเลขของเอชเอสบีซี)เกาหลีใต้ ลดลงมาอยู่ที่ 47.2 จุด จากเดิมที่ 49.4 จุด ไต้หวันลดลงมาที่ 48.6 จุด จากเดือน มิ.ย.ที่ 49.5 จุดอินโดนีเซีย ลดลงเหลือ 50.7 จุด จากเดิม 51 จุด อินเดีย ลดลงมาอยู่ที่ 50.1 จุด จากเดิม50.3 จุด และออสเตรเลีย ลดลงไปอยู่ที่42.0 จุด จากเดิมในเดือนก่อนหน้านั้นที่49.7 จุด

นักวิเคราะห์ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้การฟื้นตัวของประเทศพัฒนาแล้ว ไม่สามารถช่วยกระตุ้นและเป็นพลังผลักดันการฟื้นตัวของเอเชียขึ้นมาได้เหมือนในอดีต ก็เป็นเพราะว่าปัจจุบันหลายประเทศในเอเชียได้หันไปพึ่งพาการค้าและการส่งออกสินค้าและวัตถุดิบไปขายยังตลาดดินแดนพญามังกรในสัดส่วนที่สูงมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลกปี 2009 ที่หลายประเทศเริ่มหันมาพึ่งจีนเพื่อแทนที่ตลาดจากฝั่งสหรัฐและยุโรปที่กำลังซื้อเริ่มหดหายลงไปมากขึ้น

“ตัวเลขพีเอ็มไอที่ยกมาสะท้อนชัดว่าเศรษฐกิจเอเชียไม่ได้รับประโยชน์จากการที่ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่น เริ่มฟื้นตัวขึ้นแล้ว เพราะในขณะนี้หลายประเทศได้หันไปพึ่งพิงการค้ากับจีนมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่จีนดำเนินนโยบายอัดฉีดแบบโหมกระหน่ำในปี 2009 เศรษฐกิจเอเชียได้รับประโยชน์จากนโยบายดังกล่าวอย่างมาก” เฟรเดอริก นูแมน หัวหน้านักวิจัยเศรษฐกิจเอเชียของธนาคารเอชเอสบีซี กล่าวให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล

คำกล่าวของนักวิจัยจากเอชเอสบีซีสามารถยืนยันได้จากข้อมูลของสำนักข่าวเอพีที่ระบุว่า ในปี 2011 จีนได้แซงหน้าสหรัฐขึ้นมาเป็นประเทศที่เป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีจำนวนประเทศที่มีจีนเป็นคู่ค้าหลักมากถึง 124 ประเทศ ซึ่งในจำนวนดังกล่าว ประกอบไปด้วย เกาหลีใต้ และออสเตรเลีย ขณะที่สหรัฐอยู่ที่ 76 ประเทศเท่านั้น และเมื่อเทียบกับตัวเลขเดิมในปี 2006 ประเทศที่มีสหรัฐเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดอยู่ที่ 127 ประเทศ ขณะที่จีนอยู่ที่ 70 ประเทศเท่านั้น

ขณะที่ข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์จีน ระบุว่า ในปี 2012 ปริมาณการค้าระหว่างจีนกับอาเซียน ได้พุ่งสูงขึ้นจากปีก่อนหน้าถึง 10.2% มาอยู่ที่ 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของอาเซียนไปแล้วในปัจจุบัน จากเดิมในปี 2008 เป็นเพียงคู่ค้าอันดับ 3 ของอาเซียนเท่านั้น โดยมีมูลค่าการค้าอยู่ที่ 1.92 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนในปี 2002 อยู่ที่ 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ

ดังนั้น ในช่วงจังหวะที่จีนกำลังชะลอตัวเพื่อหันมาปรับเปลี่ยนกลยุทธ์โดยหันมาสร้างการเติบโตจากตลาดภายในมากขึ้น และหลีกเลี่ยงการโหมกระตุ้นอย่างหนัก ตามนโยบายของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง จึงส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชียแปซิฟิกให้ต้องชะลอตัวตามกันถ้วนหน้า

ผลกระทบดังกล่าวนั้น ไม่เพียงแต่จะสะท้อนออกมาจากตัวเลขพีเอ็มไอที่ยกมาในข้างต้นอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ด้วย โดยล่าสุดตัวเลขผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของอินโดนีเซีย ประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในอาเซียน ประจำไตรมาส 2 ที่ผ่านมาขยายตัวต่ำสุดในรอบ3 ปี โดยอยู่ที่ 5.81% ขณะที่ไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 6.03% เนื่องจากปริมาณการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น ถ่านหิน ปาล์มน้ำมัน ไปยังตลาดจีนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาลดลงอย่างหนัก

ขณะที่ไทยก็ได้รับผลกระทบไปด้วยไม่แพ้กัน โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า จีดีพีไตรมาส 2 ของปีนี้น่าจะขยายตัวได้ต่ำกว่าระดับที่คาดการณ์ที่ 4% พร้อมกับให้เหตุผลว่าหนึ่งในปัจจัยสำคัญนั่นคือการส่งออกไปยังจีนลดน้อยลง

ส่วนตัวเลขส่งออกของมาเลเซีย เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ก็หดตัวลงมากถึง 7.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2012 ทำให้ขณะนี้แดนเสือเหลืองมียอดการค้าขาดดุลสะสมติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 แล้ว

นอกจากนี้ รายงานของธนาคารโนมูระ ระบุว่า 5 ประเทศในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์และสิงคโปร์ เสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของจีนอย่างรุนแรง โดยคาดว่าการขยายตัวจีดีพีของกลุ่ม 5 ประเทศดังกล่าวอาจหายไปถึง 1% เลยทีเดียว ขณะเดียวกันทุกๆ การชะลอตัวของจีดีพีจีน 1% จะทำให้การขยายตัวของจีดีพีโลกหดตัวลงไป 0.3%

ถึงกระนั้นก็ตาม แม้ว่าการชะลอตัวของจีนครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียอย่างหนัก แต่ในอีกมุมหนึ่งก็อาจเป็นผลดีต่อเอเชียในแง่ที่ว่าเป็นตัวกระตุ้นเตือนให้เอเชียเริ่มหันมาทบทวนนโยบายการพึ่งพาการส่งออกไปต่างประเทศมากขึ้นว่า ไม่อาจพึ่งพาจมูกของคนอื่นหายใจได้อีกต่อไปแล้ว และควรหันมาลดความเสี่ยงด้วยการพึ่งพาการบริโภคจากตลาดภายในมากขึ้นแทน ซึ่งปัจจุบันหลายประเทศได้เริ่มนโยบายผลักดันการบริโภคจากตลาดภายในมากขึ้นแล้ว อาทิ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม อินโดนีเซีย ที่หันมาขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ขณะที่ สิงคโปร์ เกาหลีใต้ ไปจนถึงมาเลเซีย ก็หันมาเร่งสนับสนุนธุรกิจรายย่อยอย่างจริงจังมากขึ้น

“แม้เศรษฐกิจทั่วทั้งเอเชียจะย่ำแย่มาก แต่ผมยังพอมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์อยู่บ้าง โดยเฉพาะการที่เอเชียได้เดินมาถึงจุดที่ต่ำสุดของวงจรการผลิตเพื่อมุ่งส่งออกแล้ว” โรเบิร์ตพีเออร์ เวนเดสฟอร์ด หัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจอินเดียและอาเซียนของธนาคารเครดิตสวิส กล่าว

ไม่เพียงเท่านั้น กลุ่มนักลงทุนบางส่วนก็เริ่มหันมาปรับทิศทางการลงทุนมากขึ้น ด้วยการลดการพึ่งพาจีนให้น้อยลง เพื่อลดความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจแดนมังกร โดยล่าสุดกองทุนจีไอซี ซึ่งเป็นผู้บริหารเงินทุนสำรองของสิงคโปร์กว่า 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ได้เผยกับบลูมเบิร์กว่าการชะลอตัว ของเศรษฐกิจ และภาวะสินเชื่อตรึงตัวของจีน กำลังส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนไปทั่วโลกโดยเฉพาะในตลาดหุ้น

“การชะลอตัวของจีนได้ส่งผลกระทบในเชิงระบบโครงสร้างที่ใหญ่มาก โดยเฉพาะได้ส่งผลต่อตลาดหุ้นทั่วโลก และก็จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในประเทศตลาดเกิดใหม่อีกด้วย”เลสลี ทีโอ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากจีไอซีของรัฐบาลสิงคโปร์ กล่าว

คำเตือนจากกองทุนจีไอซีมีขึ้นหลังจากที่เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้คอมโพสิทร่วงลงแรงถึง 43% เมื่อเทียบกับจุดพีกที่เคยพุ่งขึ้นเกือบถึง 50% ในช่วงกลางปี 2009 ที่จีนโหมอัดฉีดเม็ดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างหนัก ทั้งนี้ ตลาดหุ้นที่ดิ่งแรงดังกล่าวทำให้มูลค่าในตลาดดังกล่าวสูญหายไปถึง 7.48 แสนล้านเหรียญสหรัฐ และยังถือเป็นดัชนีตลาดหุ้นที่มีผลประกอบการย่ำแย่ที่สุดของโลกในปีนี้ รองจากตลาดหุ้นเอเอสอีของ กรีซอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงถึงเวลาแล้วที่บรรดาประเทศในเอเชียจะปรับตัว และตระหนักขึ้นว่าการพึ่งพาการเติบโตจากคนอื่นนั้นไม่ใช่หนทางที่ยั่งยืนอีกแล้ว

gold
gold What is Selfie?
gold คำว่า TAPERING แปลว่าอะไร
gold Android คืออะไร
gold โลกฟื้น เอเชียไม่ฟื้น ถึงเวลาปรับตัวเล็กพึ่งจีน
gold สำรวจอาณาจักรธุรกิจ 3 มหาเศรษฐีอาเซียน
gold ทิศทาง SMEs ไทย จะปรับตัวอย่างไรเพื่อเข้าสู่ AEC
ห้างทองคุณฮั้ว (หล่อ)
หน้าแรก
เกี่ยวกับเรา
สินค้า
สินค้าเด่น
บทความ
ข่าวที่น่าสนใจ
สมาชิก
ติดต่อเรา
สินค้า
- ทองคำแท่ง
- ทองรูปพรรณ 96.5%
- ทองรูปพรรณ 85%
- ทองรูปพรรณ 75%
- Pink Gold
- งานพระเลี่ยมทอง
- งานกรอบพระ
ห้างทองคุณฮั้ว (หล่อ)
1/10-12 ถนนตรีเพชร แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 10200

ชั้น 1 ศูนย์การค้าดิโอลด์สยามพลาซ่า
โทรศัพท์ 0-2222-6028, 0-2225-0539, 0-2222-9534
แฟกซ์ 0-2225-5724

อีเมล์ sales@khunhua.com
เว็บไซต์ www.khunhua.com
khunhua group
www.khunhuagroup.com
www.KhunHua.com © 2012 All Rights Reserved.

ห้างหุ้นส่วนจำกัด ห้างทอง คุณฮั้ว (หล่อ) ดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับทองคำและเครื่องประดับ
ทองรูปพรรณ 96.5% : ทองรูปพรรณ 85%, ทองคำ 75% : ทอง 18 กะรัต : นาก : Pink Gold : จิวเวลลี่ + เพชร : ภาพทองคำ 999.9% : งานกรอบพระเลี่ยมทอง